อาการมือชาและปลายนิ้วชาสามารถมีหลายสาเหตุที่เป็นไปได้ ซึ่งอาจมีทั้งสาเหตุทางการแพทย์และสาเหตุทางจิตวิทยาด้วย ดังนี้
1.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease): เป็นโรคระบบประสาทที่มีอาการหลายอย่างรวมทั้งมือชาและปลายนิ้วชา
2.โรคไซต์ตอมา (Essential Tremor): เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการสั่นของมือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เฉพาะเวลาที่มือใช้งาน
3.อัมพาต (Ataxia): อาการขาดความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
4.โรคเบาหวาน (Diabetes): สามารถทำให้เกิดปัญหาทางประสาทที่เรียกว่าโรคปากมดลูก (diabetic neuropathy) ที่ส่งผลให้มือชาและปลายนิ้วชา
5.การใช้ยาบางชนิด: บางครั้งการใช้ยาหรือยาต้านจมูกก็สามารถทำให้เกิดอาการมือชา
6.ภาวะวิตกกังวล (Anxiety Disorders): การตึงเครียดหรือวิตกกังวลมีโอกาสทำให้เกิดอาการมือชา
7.การดื่มแอลกอฮอล์หรือยาบางชนิด: การบริโภคสารเสพติดหรือยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงทางประสาท
8.อาการติดเชื้อหรือโรคทางเลือด: การติดเชื้อหรือโรคทางเลือดบางประการอาจมีผลทำให้มือชา
ถ้าคุณหรือคนที่คุณรู้จักมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติม เครื่องช่วยฟังเล็กจิ๋ว เพราะอาการมือชาและปลายนิ้วชาอาจเกิดจากหลายสาเหตุที่ต้องการการรักษาที่แตกต่างกันไป
แนวทางการรักษาอาการมือชา ปลายนิ้วชา ได้แก่
การรักษาอาการมือชาและปลายนิ้วชาขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการนั้น ๆ ซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของแต่ละรายบุคคล แต่นี่คือแนวทางรักษาทั่วไปที่มักจะนำไปใช้เบื้องต้น
1.การใช้ยา: หากอาการมีสาเหตุจากโรคพาร์กินสันหรือโรคอื่นๆ แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาที่ช่วยลดอาการสั่นหรือป้องกันการเป็นพัฒนาของอาการมากขึ้น
2.การกายภาพบำบัด: การฝึกท่าทางกายภาพอาจช่วยลดอาการมือชาและปลายนิ้วชา และเพิ่มความคล่องตัวของกล้ามเนื้อ
3.การรักษาด้วยการผ่าตัด: กรณีบางราย เฉพาะกรณีที่มีการทำลายรุนแรงในส่วนของสมองหรือระบบประสาท อาจต้องพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด
4.การปรับเปลี่ยนแบบท่าทางชีวิต: ปรับเปลี่ยนแบบท่าทางชีวิตอาจช่วยลดอาการมือชา เช่น การลดบริโภคสารก่อภูมิแพ้หรือสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
5.การจัดการและการฝึกสมาธิ: การใช้เทคนิคการจัดการสตรีสและการฝึกสมาธิอาจช่วยลดอาการมือชาที่เกิดจากสาเหตุทางจิตวิทยา เช่น ความเครียดหรือวิตกกังวล
6.การเลือกบางเครื่องดื่มหรือยา: บางครั้งการใช้ยาหรือสารที่ช่วยลดอาการสั่นสะเทือนได้ โดยประการเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นคุณควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง ขั้นตอนการรักษาไม่มีตายตัวว่าจะต้องรักษาอย่างไร ดังนั้นอาการที่คุณเป็นจึงจำเป็นต้องให้แพทย์วิฉัยและรักษาให้ถูกวิธี