สุขภาพ

การลดน้ำหนักหลังคลอด

การที่เรานั้นมีลูกตอนตั้งท้องนั้นเราต้องมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงนั่งคือสิ่งที่เรานั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและอย่างไวเพราะว่าลูกน้อยๆที่อยู่ในท้องเรานั้นต้องการที่เจริญเติบโตเพื่อที่จะไปบำรุงร่างกายให้ลูกน้อยนั้นเจริญเติบโตการที่เรานั้นเป็นแม่เรานั้นต้องกินเพื่อที่จะบำรุงร่างกายและลูกน้อยๆของเราและเมื่อเรานั้นคลอดลูกน้อยของเรานั้นออกมาสิ่งที่ยังอยู่ร่างกายที่เหี่ยวและอ้วนจากการที่เรานั้นท้องเมื่อเรานั้นเลี้ยงลูกไปได้สักพักแล้วเราจะอยากกลับมาหุ่นดีเหมือนเดิมแต่ก็ยากซักหน่อยเพราะว่าการที่เรานั้น

พึ่งคลอดลูกออกมานั้นเราต้องดูแลลูกน้อยของเราแต่พอเมื่อสภาพร่างกายของเรานั้นพร้อมเราก็ควรที่จะออกกำลังกายและคุณแม่ๆนั้นรู้หรือไม่ว่าการที่ลูกน้อยเรานั้นกินนมแม่นั้นเป็นเรื่องดีอย่างมากและในการที่ลูกเรานั้นกินนมแม่นั้นลูกเรานั้นดูดนมคุณแม่รู้ไหมว่าการที่ลูกเรานั้นดูดนมออกจากอกนั้นไขมันที่อยู่ในร่างกายของเรานั้นลูกก็จะดูดออกไปด้วย การที่ลูกน้อยเรานั้นกินนมเรานานแค่ไหนก็จะทำให้เรานั้นมีหุ่นที่ผอมขึ้น ทำให้พุงที่ย้อย  ต้นแขน ต้นขานั้นยุบลงอย่างเห็นได้ชัดเจน และเรานั้นก็ต้องออกกำลังกายด้วยอย่างเช่นงานบ้านเพื่อที่ให้เรานั้น

ได้ขยับตัวในการที่ไม่ให้ตัวเรานั้นอยู่เฉยๆการที่เรานั้นขยับตัวออกกำลังกายนั้นก็จะทำให้ระบบเผาผลาญได้เหมือนกันอย่างเช่นกวาดบ้าน ถูบ้าน รถน้ำต้นไม้เป็นต้น การที่เรานั้นตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเรานั้นอยากจะลดน้ำหนักให้เหมือนก่อนที่เรานั้นท้องก็จะยากสักหน่อยแต่ถ้าเรานั้นมีความมุ่งมั่นเราเชื่อว่าคุณแม่นั้นทำได้ เพียงแค่เรานั้นค่อยๆ

ลดเริ่มจากลดทีละน้อยถ้าเรานั้นเห็นตัวเลขที่เยอะเรานั้นจะท้อไปก่อน ดังนั้นเราก็ตั้งเป้าหมายเลยว่าเรานั้นจะลดน้ำหนักเดือนหนึ่งกี่กิโลเพื่อที่ให้เรานั้นไม่ท้อในการลดน้ำหนัก การที่เรานั้นออกกำลังกายหลังคลอดนั้นเราต้องค่อยๆเลือกที่จะออกกำลังกายจากนั้นเราก็ค่อยๆเพิ่มในการที่ออกกำลังกายเพื่อที่จะเล่น

การอยู่ไฟหลังคลอดนั้น  เป็นภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่โบราณเป็นการที่ฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่หลังคลอดเพื่อที่ปรับสมดุลในร่างกายเพื่อที่จะให้กลับมาแข็งแรงอย่างเดิม แต่ด้วยว่าการที่อยู่ไฟนั้นมีการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆการที่อยู่ไฟในรูปแบบปัจจุบันนั้นมีความสะดวกสบายมากขึ้นหรือว่าเรานั้นจะเลือกไปอบสมุนไพรที่ตามโรงบาลก็ได้เพราะว่าตามโรงพยาบาลนั้นก็เริ่มมีบริการให้อบสมุนไพรกันมาก  

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  แทงหวยออนไลน์

สุขภาพ

ไมเกรนโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้

ไมเกรนโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้เป็นอย่างไร

      สำหรับอาการปวดหัวของคนเรามีด้วยกันหลายแบบทั้งการปวดหัวแบบทั่วไปเมื่อมีอาการเป็นไข้ไม่สบาย หรืออาการปวดที่มาจากความเครียด ซึ่งการปวดสามารถปวดหัวได้ทั้งสองฝั่งหรือบางคนพบปัญหาว่ามีการปวดหัวเพียงข้างเดียวซึ่งเราเรียกอาการแบบนี้ว่าเป็นอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งการปวดหัวแบบไมเกรนนี้มีด้วยกันหลายสาเหตุที่มากระตุ้นทำให้สมองมีการสั่งการให้เรามีอาการแบบนี้ สำหรับใครที่เคยปวดหัวไมเกรนจะรู้ว่ามันทรมานมากเพียงใดวันนี้จะมาหาสาเหตุที่ทำให้เรามีอาการปวดหัวไมเกรนกำเริบขึ้นมาได้เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เรามีปัญหาเรื่องการปวดหัวไมเกรน

ซึ่งจากการทดลองค้นคว้าพบว่าการปวดหัวแบบไม่เกรนนี้มีสาเหตุได้หลายแบบ

ทั้งมาจากพันธุกรรมซึ่งถ้าคนในบ้านเรามีใครที่เคยปวดหัวแบบไมเกรนเราเองก็มีสิทธิ์ที่จะปวดหัวไมเกรนได้เหมือนกัน และนอกจากนี้การปวดไมเกรนยังมาจากสาเหตุอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสิ่งเร้าที่มากระตุ้นทำคนเรามีอาการไมเกรนกำเริบ ซึ่งสิ่งเร้าเหล่านั้นเกิดได้ทั้งจากอาหารการกิน และสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา  สำหรับคนที่ปวดหัวไมเกรนจะมีอาการปวดหัวตุบตุบเหมือนหัวจะระเบิดบางครั้งนอกจากอาการปวดหัวแล้วอาจจะมีอาการอยากอาเจียนและคลื่นไส้ด้วย ไม่เกรนสามารถเกิดได้กับคนทุกวัย ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น วัยทำงานหรือวัยผู้ใหญ่ แต่ส่วนมากที่จะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคไมเกรนส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนนอนน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอ การกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์และการกินที่ไม่เป็นเวลา รวมถึงมีความเครียดสะสม ทั้งเครียดเรื่องงาน

เรื่องส่วนตัวหรือแม้แต่เรื่องเรียนและสำหรับคนที่อยู่ในแสงจ้ามากๆ หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆรวมถึงหากมักจะอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังมากๆก็มักจะทำให้มีอาการของโรคไมเกรนได้เช่นกัน

             ไม่เกรนเป็นการปวดหัวที่เกิดขึ้นเป็นบางครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ส่วนใหญ่เมื่อเราทานยาแก้ปวดหัวและนอนพักผ่อนอาการปวดหัวไมเกรนก็จะดีขึ้น แต่สำหรับโรคไมเกรนนั้นเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่เรามีความเครียดต่อสิ่งต่างๆ หรือว่าเจอกับสิ่งเร้าที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้ว อาการของโรคไมเกรนก็จะกำเริบกลับมาให้เราต้องทรมานอีกครั้ง

ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยเราให้ห่างไกลจากโรคไมเกรน คือพยายามอย่าเครียดให้ปล่อยวางกับทุกสิ่งอย่าง รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์รวมถึงเรามีการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังให้ร่างการยแข็งแรงก็จะช่วยให้เราไม่ปวดหัวไมเกรนได้แล้ว

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย ชุดตรวจ hiv

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

3 โรคน่ารำคาญ ของคนวัยทำงาน

3 โรคน่ารำคาญ ของคนวัยทำงาน

1. หมอนรองกระดูกเสื่อม / หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
สามารถเกิดขึ้นทั้งจากการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน หรือการดำรงชีพ รอบๆ คอ ไหล่ หลัง อาทิเช่น ของหนักๆ ร่วงใส่ หรือหามของหนักๆ อยู่เสมอตลอดเวลา แม้กระนั้นโดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากใช้ร่างกายหนักขณะที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การนั่ง ก้มคอ ข้างหลังคอ เกร็งแขน หรือไหล่ จนกระทั่งเกิดลักษณะของการปวดคอ หลัง ไหล่ ปวดมากมายจนกระทั่งรู้สึกราวกับมีไฟช็อต มีลักษณะอาการชา แล้วก็อวัยวะนิดหน่อยเริ่มอ่อนกำลัง

แนวทางปรับเปลี่ยนท่าทางระหว่างนั่งปฏิบัติงานหน้าคอมพิวเตอร์ รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต และหรือระหว่างขับรถยนต์เป็นระยะทางที่ไกลๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ลุกขึ้นยืน 1 ครั้ง หรือพักรถยนต์เป็นช่วงๆ เพื่อยืดกล้ามรอบๆ มือ แขน ไหล่ รวมทั้งหลัง ปรับโต๊ะ เก้าอี้ รวมทั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ถูกกับสรีระของตน ให้นั่งปฏิบัติงานอยู่ในท่าข้างหลังตรง ศอกตั้งฉากกับโต๊ะ แล้วก็คีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาตรงๆ ไม่ต้องก้ม รวมทั้งเก้าอี้จะต้องมีพนักพิง และก็ที่พักแขน

2. กรดไหลย้อน
เว้นแต่โรคกระเพาะอาหารอักเสบที่เป็นโรคที่อยู่คู่กับวัยทำงานมาอย่างนานแล้ว ก็มีโรคกรดไหลย้อนนี่แหละที่มาแรงแซงทางโค้งในปี 2017 นี้ไม่แพ้กัน ในประเทศไทยพบว่าชาวไทยวัยทำงานพบเจอปัญหาโรคกรดไหลย้อนกันมากเพิ่มขึ้น และก็มีแนวโน้มทิศทางมากยิ่งขึ้นเนื่องจากว่ากรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการกินอาหารมืดค่ำ แล้วเข้านอนเลย ทำให้เกิดความดันในท้องมาก แล้วก็กลายเป็นพวกกรดมากอาจไหลย้อนได้ ความตึงเครียดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาซึ่งการทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รวมทั้งขาดการบริหารร่างกายที่มากพอเพียง จนสุดท้ายกรดไหลย้อนขึ้นมาทำให้รู้สึกแสบร้อนกึ่งกลางอก ของกินไม่ย่อย อาเจียนคลื่นไส้ หรือไหลเข้าไปทำลายกล่องเสียงได้

แนวทางคุ้มครองปกป้อง รับประทานอาหารให้ตรงตามเวลา อย่าทานเกินความพอดี ลดการทานของทอดของมัน บริหารร่างกาย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ แล้วก็ลดการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม รวมทั้งดูดบุหรี่

3. ซีสต์ในช่องคลอด/รังไข่
โรคยอดนิยมของวัยทำงานผู้หญิง มักจะพบว่ามีคนที่อยู่รอบข้างเข้ารับการผ่าตัดเอาซีสต์ออก มีทั้งซีสต์ที่เป็นถุงน้ำ เดอร์มอยด์ ซีสต์ รวมทั้งที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ โดยซีสต์พวกนี้นับได้ว่าเป็นเนื้องอกประเภทหนึ่ง ตามเดิมแล้วแม้ตรวจเจอก่อน รวมทั้งเข้ารับการผ่าตัดทิ้ง ก็จะปลอดภัยต่อสภาพร่างกาย แม้กระนั้นถ้าหากเจอภายหลังจากซีสต์อักเสบจนกระทั่งแตกแล้ว อาจมีการเสี่ยงติดโรคในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

แนวทางปกป้อง ต้นเหตุของการเกิดซีสต์ไม่อาจจะเจาะจงได้แน่ชัดนัก ด้วยเหตุนั้นแนวทางคุ้มครองปกป้องก็เลยไม่สามารถที่จะเจาะจงได้ แม้กระนั้นถ้าจะเพียรพยายามลดการเสี่ยง ควรที่จะเลือกทานผักและทานผลไม้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ลดของมันของทอดไหม้เกรียม อาหารบรรจุกระป๋อง แล้วก็เลือกดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลภาวะ นอกเหนือจากนี้พึงสังเกตลักษณะของการปวดท้องของตนเอง ว่าเคยเจ็บท้องอย่างไร้ปัจจัยรอบๆ ท้องทางด้านซ้าย/ด้านขวาล่าง ปวดเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยไหม หากใช่ควรจะรีบไปตรวจเพื่อหาทางรักษาก่อนก้อนซีสต์อักเสบ

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

สุขภาพดีได้ แค่หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้

หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้ เพื่อสุขภาพที่ดี
หากคุณรู้สึกว่า ออกกำลังกายเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกได้ผลดีไม่เท่าที่ควรจะได้ หรือรู้สึกว่าสุขภาพอาจกำลังย่ำอยู่กับที่ ลองปรับพฤติกรรมการกินของคุณดู เพราะการออกกำลังกายมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพก็จริง แต่การกินนี่ถือเป็นที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพ เลือกกินให้ดี หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้
1. “ไม่กินผักผลไม้” ผักและผลไม้ เป็นแหล่งรวมวิตามินและเกลือแร่ การที่เราไม่ทานผักผลไม้เลย อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินหรือเกลือแร่บางอย่างได้ บางทีก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมไปถึงขาดกากใยอาหารที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย

2. “ไม่กินอาหารเช้า” สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่การทานอาหารเช้า จริงๆ คนเรา ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เพราะแต่ะลมื้อก็มีความสำคัญต่อร่างกายไม่เหมือนกัน เรื่องนี้จริงไม่ใช่แค่อยู่ในตำรา อย่างมื้อเช้าที่เราต้องกินเพราะ ในตอนเช้าเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเริ่มต้นระบบต้องการพลังงานจากอาหารไปกระตุ้นให้เกิดการทำงานที่ดีขึ้น ช่วยให้เราทำกิจกรรมในตอนเช้าได้อย่างดี ทั้งเรียน ทำงาน ที่สำคัญช่วยให้เราทานอาหารกลางวันได้น้อยลงอีกด้วย

3. “ติดเครื่องดื่ม” ไม่ว่าจะเป็น ชานมไข่มุก ชาเย็น กาแฟ น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มบำรุงร่างกายต่างๆ เครื่องดื่มเหล่านี้มักมีส่วนผสมของน้ำตาล หากเราติดเครื่องดื่มเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เราได้รับพลังงานที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำตาล และทำให้เราได้รับพลังงานในปริมาณมากเกินความจำเป็นในแต่ละวันจนทำให้เสี่ยงโรคอ้วน หรือไขมันอุดตันเส้นเลือดได้

4. “ติดแอลกอฮอล์” แอลกอฮอล์เป็นตัวการร้ายที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ทำลายเซลล์สมอง อาจทำให้ความจำแย่ลง ประมวลผลได้ช้า ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

5. “กินอาหารสุกๆ ดิบๆ” การทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ทำให้ร่างกายเสี่ยงรับพยาธิ และเชื้อโรคต่างๆ เข้ามาในร่างกาย เพราะจริงแล้วพยาธิและเชื้อโรคมักจะถูกทำลายหรือฆ่าให้ตายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารให้สุข แต่หากทานแบบ สุขๆ ดิบๆ จะทำให้สิ่งเหล่านั้น ที่ไม่ได้ถูกกำจัดออก หรือหลงเหลืออยู่ ดังนั้นควรปรุงอาหารให้สุกก่อนกินทุกครั้ง

นอกจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินให้ถูกต้องแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อคอยเช็กสุขภาพอยู่ตลอด เมื่อมีความผิดปกติจะได้ตรวจพบ และรีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

อากาศร้อน ระวังภัยจากอาหารอาจเสี่ยงท้องเสีย

ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อากาศที่นี่มักจะร้อนถึงร้อนมาก อาจส่งผลให้อาหารการกินที่ทำขึ้นมักจะบูดหรือเน่าเสียได้ง่าย และเร็วกว่าเดิม จากที่สามารถทำอาหารไว้ก่อนรอทุกคนกลับมาทานที่บ้าน รอลูกค้ามาซื้อ หรือแม้ซื้อจากข้างนอกมารอทานในมื้ออื่น ก็สามารถทิ้งไว้ได้เป็นวันๆ แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยการเกิดสภาวะโลกร้อน ทำให้สภาพอากาศของโลกร้อนขึ้น และประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ดังนั้นพวกเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มันจึงสมารถที่จะเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น มากขึ้น และเร็วขึ้น ซึ่งทำให้อาหารเหล่านั้นที่เราทำไว้ เตรียมไว้ มีความเสี่ยงที่จะบูดเน่าได้หลังจากทำเสร็จเพียงไม่ถึงหนึ่งวันเต็ม (หากไม่ผ่านความร้อนให้เดือดอยู่เรื่อยๆ)

อาหารแบบไหน บูดเน่าเสียได้ง่าย?
อาหารจะบูดหรือเน่าเสียง่ายมากขึ้นอยู่กับวิธีการทำว่าผ่านความร้อนใช้ความร้อนมากแค่ไหน โดยเฉพาะตอนเวลาที่ทิ้งอาหารเอาไว้หลังปรุงเสร็จว่าทิ้งไว้นานมากเท่าไรก่อนเราจะกิน โดยเฉพาะวิธีการเก็บรักษาหลังปรุงอาหารเสร็จ หรือการที่เราตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หรือนำไปอุ่นให้เดือด หรือเก็บใส่ในตู้เย็นในระหว่างก่อนจะกินหรือไม่ และส่วนประกอบของอาหารนั้นๆ มีส่วนประกอบเป็น นม หรือ กะทิ หรือเปล่า เพราะอาหารที่มีส่วนประกอบเจ้า 2 อย่างนี้มักจะบูดเน่าเสียง่ายกว่าอาหารอื่นๆ

อาหารเสี่ยง “ท้องเสีย-ท้องร่วง-อาหารเป็นพิษ” ช่วงหน้าร้อน

  1. อาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น กุ้งแช่น้ำปลา ลาบก้อย เนื้อย่างมิเดียมแรร์ กุ้งเต้น ฯลฯ หลายคนคงเข้าใจว่ากรดในน้ำมะนาวสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แต่จริงๆ แล้ว เป็นความเข้าใจที่ผิด ความร้อนเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลดแบคทีเรียให้น้อยลงได้ และทำได้แค่บางตัว บางชนิด
  2. อาหารที่มีส่วนประกอบหรือปรุงด้วยนม กะทิ เช่น น้ำยากะทิ แกงเขียวหวาน มัสมั่น แกงกะทิ ฯลฯ หากมีการปรุงอาหารเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้ามืด และนำมาตั้งทิ้งไว้นานเกินและไม่ได้นำไปอุ่นให้เดือด อาจมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโตในอาหารจนอาจทำให้บูดเน่าได้ แม้เวลาจะผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง
  3. อาหารประเภทที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ โดยไม่สามารถนำไปอุ่นได้ เช่น อาหารประเภทยำ พล่า หรือบางเมนูที่เมื่อนำไปอุ่นแล้วจะลดความน่ารับประทานลงไป เช่น ผัดผัก อาหารทอด (ที่จะทำให้ผัก หรืออาหารสุกเกินไป และไม่น่ารับประทาน) มีความเสี่ยงที่จะมีแบคทีเรียเจริญเติบโตเช่นกัน
  4. อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วนำมาตั้งไว้บนพื้น อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีสิ่งสกปรกตกลงไปในอาหารได้ ดังนั้นควรสังเกตร้านอาหารต่างๆ ว่ามีการตั้งอาหารพร้อมภาชนะ รวมทั้งอุปกรณ์ในการทำอาหารเอาไว้บนพื้นหรือไม่
  5. น้ำดื่ม น้ำแข็ง ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน อาจมีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนจนทำให้เสี่ยงท้องร่วงได้

วิธีหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษ

  • เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีการปรุงใหม่ ปรุงสดทีละจาน หรือพึ่งทำเสร็จ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ไม่ดิบ ไม่กึ่งสุก กึ่งดิบ และได้ผ่านความร้อนมาอย่างเต็มที่
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่สังเกตแล้วเหมือนว่าทำทิ้งเอาไว้นานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้รับการอุ่นให้ร้อนระหว่างวัน
  • หากซื้ออาหารปรุงสำเร็จกลับมารับประทานเองที่บ้าน ควรอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน หากยังไม่ทาน หรือทานเหลือแต่อยากเก็บเอาไว้รับประทานใหม่ในวันอื่น ควรอุ่นให้ร้อน ก่อนทิ้งไว้ให้หายร้อนแล้วนำเข้าไปเก็บเอาไว้ในตู้เย็น (ตู้เย็นไม่ควรมีอาหารแช่จนแน่นตู้ เพราะจะทำให้ความเย็นไม่เพียงพอในการรักษาคุณภาพของอาหาร)
  • เลือกซื้อน้ำดื่ม และน้ำแข็งจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
  • เลือกซื้ออาหารจากร้านอาหารที่ดูแล้วถูกสุขลักษณะ มีความสะอาดทั้งจากร้าน อุปกรณ์ในการทำอาหาร ลักษณะของคนทำอาหาร เป็นต้น

จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 ทั่วประเทศพบผู้ป่วย โรคอุจจาระร่วง 209,470 ราย และโรคอาหารเป็นพิษ 19,807 ราย โดยอาการของผู้ป่วยจะคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระ คอแห้งกระหายน้ำ และอาจมีไข้ หากอาการไม่รุนแรงควรให้สารละลายเกลือแร่หรืออาหารเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ หากอาการต่างๆ ไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

ความเชื่อผิดๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับอาหารคนท้อง

คนท้องอยากกินนั่น อยากกินนี่ แต่ก็เจอกับข้อห้ามเยอะแยะไปหมด มีข้อห้ามอะไรบ้างที่เป็นความเชื่อผิด ๆ เรื่อง อาหารของคนท้อง แล้วอาจทำให้พลาดของอร่อยตอนท้องไป ถ้ารู้ไว้จะระมัดระวัง และเลือกกินของที่อยากกินได้อย่างสบายใจมากขึ้น

ความเชื่อผิดๆ อาหารของคนท้อง

  • อยากกินของเปรี้ยวจะได้ลูกสาว ?
    ถ้าอยากกินอาหารรสเปรี้ยว ๆ ทายว่าจะได้ลูกสาว เป็นความเชื่อที่ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ อาการที่อยากกินของเปรี้ยวนั้น อาจจะเกิดขึ้น เพราะอาการวิงเวียนศีรษะ หรือแพ้ท้องในช่วงแรก ๆ มากกว่า ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับเพศของลูก

 

  • กินกระเทียมบอกเพศลูกได้ ?
    ไม่จริง ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อในต่างประเทศ ที่ว่ากันว่าถ้ากินกระเทียมแล้ว มีกลิ่นกระเทียมออกมาตามรูขุมขนจะได้ลูกชาย แต่ถ้าไม่มีกลิ่นจะได้ลูกสาว ซึ่งไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่บอกได้ว่ากระเทียมจะเกี่ยวกับการบอกเพศลูก การดูเพศลูกที่ชัดเจน คือ ตรวจโครโมโซม หรือ อาจจะดูจากการอัลตราซาวด์ก็ได้

 

  • กินน้ำมะพร้าวเผาเสี่ยงแท้ง ?
    เรื่องการกินน้ำมะพร้าว เป็นความเชื่อที่พูดถึงกันมานาน บางคนบอกว่ากินน้ำมะพร้าวเผา ระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้ปวดท้อง หรือแท้งได้ เพราะเชื่อว่าในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำให้มดลูกบีบตัวได้ แต่ถึงจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนจริง แต่ก็มีในปริมาณน้อยมาก จนแทบไม่มีผลต่อการบีบรัดตัวมดลูกจนแท้งได้ ซึ่งการกินน้ำมะพร้าว ยังไม่มีข้อพิสูจน์ หรือ งานวิจัยในทางการแพทย์ ว่าจะมีผลกับภาวะเสี่ยงแท้ง ดังนั้นคุณแม่กินน้ำมะพร้าวได้ แต่ก็ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะอย่าลืมว่า น้ำมะพร้าวก็มีน้ำตาล ที่อาจจะเสี่ยงกับเบาหวานมากกว่า

 

  • กินมะพร้าวจะช่วยล้างไขลูก ช่วยให้ลูกผิวขาว ?
    อีกหนึ่งความเชื่อเรื่องมะพร้าว คือ กินน้ำมะพร้าวจะช่วยล้างไขสีขาวของทารกในครรภ์ (Vernix caseosa) จริง ๆ แล้วไขนี้มีประโยชน์ให้ความชุมชื้นแก่ผิวทารก ป้องกันการเสียความร้อน เมื่ออายุครรภ์ครบกำหนดไขเหล่านี้จะลดน้อยลงเอง ส่วนเรื่องสีผิวนั้นเป็นเรื่องของพันธุกรรม น้ำมะพร้าวไม่มีผลแต่อย่างใด

 

  • แม่ท้องห้ามกินทุเรียน ?
    จริง ๆ ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีโฟเลตสูง เหมาะกับคนท้องอย่างยิ่ง แต่ที่ห้ามคนท้องกินทุเรียนนั้น หมายถึงไม่แนะนำให้กินทุเรียนในปริมาณมากเกินไป เพราะทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาล และให้พลังงานสูง ซึ่งการกินทุเรียนมากไป อาจส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น โดยเฉพาะคนท้องที่ต้องควบคุมน้ำหนัก ควบคุมน้ำตาล การกินทุเรียนมากไปจึงไม่ดีต่อร่างกาย แต่อาจจะกินได้เล็กน้อย เพราะทุเรียนเพียง 2 เม็ด ก็ได้พลังงานถึงครึ่งหนึ่งที่คนท้องต้องการในแต่ละวันแล้ว ดังนั้นอาจจะกินแค่สัปดาห์ละ 2-3 เม็ด แค่พอหายยาก

 

  • คนท้องควรงดอาหารทะเล ?
    ความเชื่อเก่าอาจจะห้ามกินอาหารทะเล หรือ ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะจะทำให้ลูกแพ้ได้ แต่จริง ๆ แล้ว แม่สามารถกินอาหารทะเลได้ โดยเฉพาะปลาทะเล ซึ่งเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ดีกับสุขภาพ สมอง ช่วยเรื่องสมาธิ ส่งผลกับความฉลาดของลูกน้อยด้วย แต่ควรเลือกอาหารทะเลที่สด สะอาด และไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป

 

  • คนท้องห้ามกินปลาดิบ ?
    แต่ก่อนอาจจะห้ามไม่ให้แม่ท้องกินปลาดิบ แต่มีการยืนยันจากทาง The National Health Service in England แล้วว่า คนท้องสามารถกินปลาดิบได้ แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นปลาดิบที่แช่แข็งมาอย่างดี สด สะอาด

อาหารของคนท้องควรกินอะไรดี ?

  1. คนท้องควรกินอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน อาจจะเพิ่มปริมาณขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ควรมากเกินไป โดยช่วง 3 เดือนแรกก็กินปกติ แต่อาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสอง โดยเพิ่มแคลอรี่ขึ้น 340 กิโลแคลอรี่ต่อวัน และ เพิ่ม 450 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ในไตรมาสสุดท้าย
  2. ธัญพืช เปลี่ยนจากข้าวขาวที่กินปกติ เป็นข้าวกล้อง หรือ ข้าวโอ๊ต ธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งให้พลังงานที่ดี และมีวิตามินสูง
  3. ผัก พยายามกินผักเพิ่มขึ้น เพราะสารอาหารที่กินเข้าไปจะส่งผ่านไปถึงลูกได้เช่นกัน กินผักให้หลากหลาย ไม่เน้นชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป และเลือกกินผักให้ครบ 5 สี คือ ผักสีเขียว ผักสีแดง ผักสีส้ม ผักสีม่วง ผักสีขาว เพราะในผักแต่ละสี มีแร่ธาตุ และประโยชน์ที่ต่างกันไป
  4. ผลไม้ ผลไม้ช่วยเรื่องการขับถ่าย เพราะมีเส้นใยสูง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ คนท้องมักมีปัญหาเรื่องท้องผูก จึงควรกินผลไม้เพิ่มขึ้น ควรเลือกผลไม้ที่มีวิตามินสูง มีแป้งน้อย ไม่หวานเกินไป เช่น ส้ม มะละกอ เบอร์รี แก้วมังกร เป็นต้น
  5. กินวิตามินเสริมคนท้อง วิตามินเสริมระหว่างตั้งครรภ์ มีวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็นที่คนท้องควรได้รับมากขึ้น เช่น โฟเลต ธาตุเหล็ก ซึ่งก่อนกินยาควรได้รับคำแนะนำจากคุณหมอด้วย ว่าควรกินขนาดเท่าไหร่ และมีผลข้างเคียงหรือไม่
สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

เอ็นร้อยหวายอักเสบ อาการเจ็บเท้าที่ควรรู้

เอ็นร้อยหวายเป็นเส้นเอ็นที่ใหญ่สุดในร่างกาย เชื่อมต่อกล้ามเนื้อน่องกับส้นเท้า มีผลในการเดิน วิ่ง และการกระโดด หากเกิดเส้นเอ็นตึงมากหรือมีความเครียดเกิดที่เส้นเอ็นมากๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้

สาเหตุการเกิดเอ็นร้อยหวายอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการใช้งานซ้ำ และทำให้เกิดความเครียดต่อเส้นเอ็น เช่นการวิ่งที่มากเกินไป หรือวิ่งเพิ่มระยะทางและเวลาอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ปล่อยให้ร่างกายสร้างความคุ้นเคยเพื่อปรับตัว ขาดการยืดเหยียดที่พอเพียง กล้ามเนื้อน่องไม่แข็งแรง และตึงมากเมื่อออกกำลังกายทำให้เพิ่มแรงและความเครียดต่อเอ็นร้อยหวาย และนอกจากนี้ยังพบว่าคนที่มีกระดูกงอกบริเวณส้นเท้าจะทำให้เกิดการเสียดสีกับเอ้นร้อยหวายทำให้เกิดอาการปวด หรืออักเสบได้

เมื่อเอ็นร้อยหวายอักเสบมีอาการเจ็บ บวมแดง บริเวณเอ็นร้อยหวาย อาจเจ็บลามไปถึงกล้ามเนื้อน่อง เมื่อมีอาการปวดตรงส้นเท้าควรพัก หยุดจากการวิ่ง แล้วใช้การประคบเย็นช่วย โดยประคบบ่อยๆ จะช่วยให้หายเร็วขึ้น อาการปวดควรหาย 100% ก่อนกลับมาวิ่งหรือออกกำลลังกายอีกครั้ง เพราะถ้าวิ่งโดยที่มีอาการปวดอยู่จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นและต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานขึ้น

การป้องกันเอ็นร้อยหวายอักเสบ

  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอย่างเพียงพอทุกครั้งก่อนการออกกำลังกาย
  • ออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่อง
  • ค่อยๆเพิ่มความแรงของการออกกำลังกาย การฝึกวิ่งควรเพิ่มระยะทาง และความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสมและพอดีเท้า
  • หากใส่รองเท้าส้นสูงควรลดความชันของส้นสูงลงมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สุขภาพ

9 อาการของโรคมะเร็งปอด

มะเร็งปอด อาการเป็นอย่างไร

อาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดในระยะแรก ๆ มักจะไม่ค่อยแสดงอาการอย่างชัดเจนนัก แต่ทั้งนี้อาการของโรคมะเร็งปอดก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง รวมไปถึงตำแหน่งของก้อนมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยแต่ละรายด้วยนะคะ โดยอาการมะเร็งปอดจะแบ่งตามความรุนแรงของโรคได้ ดังนี้

1. อาการไอ

ผู้ป่วยมักมีอาการไอเรื้อรัง พบได้ทั้งอาการไอแห้ง ๆ และไอแบบมีเสมหะ โดยพบอาการไอในผู้ป่วยมะเร็งปอดได้ 45-75% ซึ่งเป็นผลมาจากก้อนมะเร็งที่อยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนกลาง ถ้าไอแห้ง ๆ มักจะเป็นเพราะการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนกลาง แต่หากมีอาการไอแบบมีเสมหะข้นเหนียวอาจจะเกิดจากปอดอักเสบเนื่องจากการอุดตันของทางเดินหายใจ

2. อาการไอมีเลือดปน

พบได้ 20-50% ในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด โดยอาการอาจมีความรุนแรงเล็กน้อย ตั้งแต่ไอปนเสมหะโดยเป็นเลือดสีแดงสดน้อยครั้ง จนกระทั่งไอปนเลือดปริมาณมากจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตเนื่องจากขาดอาการหายใจ ซึ่งอาการนี้มักเกิดจากก้อนมะเร็งที่อยู่บริเวณทางเดินหายใจส่วนกลางเช่นกัน

3. หายใจหอบ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ

พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งปอดที่มีก้อนมะเร็งขยายขนาดเข้าไปในท่อทางเดินหายใจ ทำให้ท่อทางเดินหายใจถูกกดเบียด มีขนาดเล็กลง ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจสั้น หายใจหอบ และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ

4. เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก

ถ้าก้อนมะเร็งไปอยู่บริเวณชายปอด จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปอด รู้สึกแจ็บแปล๊บ ๆ ที่หน้าอก และจะเจ็บหน้าอกมากตอนหายใจเข้าสุดหรือตอนไอ หรืออาจมีอาการแน่นหน้าอกได้เหมือนกัน

5. เสียงแหบ

ในกรณีที่ก้อนมะเร็งกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณเยื่อที่กั้นช่องอก แล้วกดเบียดเส้นประสาทกล่องเสียงทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดมีอาการเสียงแหบไปจากเดิม

6. คอบวม หน้าบวม

ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดอาจมีอาการหน้าบวม คอบวม จากการที่ก้อนมะเร็งลุกลามมาอุดกั้นภายในหลอดเลือดแดง ผู้ป่วยมักจะมีอาการหน้าบวม คอบวม แขนบวม หรือผนังหน้าอกบวมร่วมด้วย

7. ปวดร้าวที่ไหล่ ต้นแขน และสะบักหลัง

สำหรับผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งบริเวณยอดปอด ก้อนมะเร็งอาจลุกลามไปยังเส้นประสาทบริเวณรอบ ๆ ทำให้เกิดอาการปวดไหล่ร้าวไปที่ต้นแขน และสะบักหลัง ทั้งนี้หากมีอาการดังกล่าวนาน ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อที่มือฝ่อได้

8. เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

หากมีการกระจายเซลล์มะเร็งไปที่กระดูก ร่วมกับร่างกายมีภาวะสร้างและหลั่งฮอร์โมนมามากกว่าปกติ ผู้ป่วยมะเร็งปอดจะมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก น้ำหนักลด

9. ปอดบวม ปอดอักเสบบ่อย

ผู้ป่วยโรคมะเร็งจะมีอาการติดเชื้อในปอดได้ง่าย ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบและปอดบวมได้บ่อย

สุขภาพ

หน้าร้อนอย่างนี้ สาวๆที่กำลังคิดหาวิธีลดน้ำหนักคงไม่พลาดที่จะเลือกวิธีออกกำลังกายในที่ร่ม มากกว่ากลางแจ้ง เพราะหน้าร้อน อากาศร้อนระอุ ออกกำลังกายยังไม่เหนื่อยเหงื่อก็ตกกันแล้วค่ะ

และอีกอย่างอากาศที่บริสุทธิ์ สูดหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดอย่างที่คิดเห็นจะยากถ้าต้องวิ่งไปและสูดเอาควัน เอาสิ่งเจือปนในอากาศเข้าไป มันคงไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ นอกจากสุขภาพจะแย่แล้ว ลดน้ำหนักคงเป็นเรื่องยาก ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีนะค่ะ

ส่วนมากจึงหันมาเล่นฟิตเนสแทนการออกกำลังกายในที่แจ้งช่วงหน้าร้อนเพราะนอกจากจะอยู่ในที่ร่ม ยังติดแอร์ และได้ออกกำลังกายทุกสัดส่วนที่สาวๆหลายคนอยากจะลด พร้อมมีเทรนเนอร์คอยสอนด้วย เห็นมั้ยว่า เล่นฟิตเนสลดน้ำหนัก มันสะดวก สบาย และมีกำลังใจในการลดน้ำหนักมากขึ้นค่ะแต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องเล่นให้ถูกวิธีเพื่อที่จะลดสัดส่วนได้จริง จะมีวิธีปฏิบัติยังไงเรามีคำแนะนำค่ะ

เลือกเครื่องเล่นออกกำลังกายแบบไหนก่อนดี

  • ส่วนแรกเลยให้เรามองหา เครื่องออกกำลังกายที่เป็นเครื่องเล่นที่จับเวลาทั้งวิ่ง ทั้งปั่น สกีบก สเตปเปอร์ เพราะมันทำให้เราได้ออกกำลังแรงขา และคำนวณจำนวนกิโลแคลลอรี่ของเราด้วย ว่าวันนี้เรากินมาประมาณนี้ต้องออกให้เท่าหรือมากกว่านี้ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายอยู่กับที่ สำหรับคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เพื่อความเป็นสุนทรีย
  • สำหรับการออกกำลังกายเราอาจจะ เสียบหูฟัง ฟังเพลงไประหว่างออกกำลังกายไป เพราะจะได้ผ่อนคลายตามค่ะ ซึ่งการออกกำลังกายส่วนนี้ เราเรียกว่า cardio เล่นซัก 20 -30 นาทีจะเล่นเพื่อสุขภาพและเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตนะค่ะแต่สำหรับสาวๆที่จะลดน้ำหนักต้องเผาผลาญไขมันแนะนำให้เล่น เครื่องเล่นละ 30 นาทีขึ้นไปค่ะรับรองว่าถ้าเล่นอย่างประจำแล้วคุณต้องมีหุ่นที่ fit and firm แน่นอนค่ะ

ห้อง exercise ห้องที่สาวๆหลายคนทั้งสนุกและสุขภาพดี

  • ต่อจากการออกกำลังด้วย cardio เป็นการออกกำลังกายไปด้วยสนุกไปด้วยนั่นคือห้องที่รวมกิจกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก เต้นเจส หรือแม้แต่โยคะ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายเคลื่อนที่ตลอดเวลาเลยค่ะ ถือว่าลดหุ่นแบบลืมตัวกันไปเลยเพราะเนื่องด้วยเพลงประกอบ ดนตรีจังหวะและเสียงของผู้สอนที่คอยพูดตลอดเวลามันทำให้เราสนุกสนานกับการโยกย้ายแต่ละท่าและยังทนความอึดในการออกกำลังกายเป็นชั่วโมงๆเลยค่ะและหลังจากออกกำลังกายมาหนักๆต้องมีการคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายกระชับและไม่เกิดตะคริวด้วยการ Free weight อาจจะออกแบบโยคะและนวดกล้ามเนื้อก่อนกลับก็ได้ค่ะ

ใส่ใจพฤติกรรมของตนเองไปพร้อมกัน

  • นั่นคือเมื่อเราออกกำลังกาย เราต้องมีความตั้งใจและทำสม่ำเสมอ เพราะเริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่งนะค่ะ ค่อยๆเล่น เล่นอย่างถูกวิธี ไม่หักโหมมากไป เพราะร่างกายเราก็ต้องการพักผ่อนเช่นกัน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่าอดอาหารเด็ดขาดเพราะเราต้องใช้พลังงานในการทำกิจกรรมในแต่ละวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง เพียงเท่านี้นอกจากเราจะผอม สวยแล้ว สุขภาพที่ดียังตามมา เรียกได้ว่าเพียงแค่มีความตั้งใจทำอะไรก็บรรลุผลสำเร็จค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สาวๆ หลายคนที่นิยมไปเข้าฟิตเนสเพื่อเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ออกกำลังกายเพื่อให้รูปร่างสวย หุ่นดีตามใจปรารถนา ในวันนี้เราก็ได้เอาเทคนิคการเลือกเล่นเครื่องเล่นต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องพร้อมกันมาฝากกันแล้วเรียบร้อย เพราะฉะนั้น อย่าลืมนำคำแนะนำจากเราไปปฏิบัติกันอย่างถูกวิธีและเคร่งครัดกันนะ รูปร่างของคุณจะได้สวยจนคนอื่นๆ อิจฉากันไปเลย

สุขภาพ

กรดไหลย้อน ใครว่าปัญหาเล็กๆ

สังคมคนทำงานในยุคปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือโรคกรดไหลย้อน ที่สามารถป้องกันได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม

     โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะการย้อนกลับของสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารขึ้นมาสู่หลอดอาหาร ได้แก่ น้ำย่อย อาหารที่ทาน และกรด โดยจะขึ้นมาในหลอดอาหารพร้อม ๆ กัน ซึ่งปกติแล้วระหว่างหลอดอาหารกับกระเพาะอาหารจะมีหูรูดที่ทำหน้าที่บีบรัดไม่ให้สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารได้ แต่ในคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน หูรูดดังกล่าวจะเสื่อมสภาพและทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหารได้

อาการของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ แสบร้อนยอดอก ขย้อนหรือเรอเปรี้ยวออกมาหลังทานอาหาร โดยอาการเหล่านี้เกิดจากการย้อนกลับขึ้นมาของสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารมาสู่หลอดอาหารผ่านหูรูดอันแรก แต่ถ้าหากผ่านหูรูดอันที่สองขึ้นมาที่คอ จะมีอาการเสียงแหบ จุกในคอ มีความผิดปกติเกิดขึ้นในคอ เหมือนมีเสมหะเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นไข้หวัด หรือไอไม่ทราบสาเหตุ

สาเหตุของโรค ได้แก่ พฤติกรรมการทานอาหารและความอ้วน โดยพฤติกรรมการทานอาหารที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนคือการกินแล้วนอนทันที รวมถึงทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป จึงสามารถป้องกันได้โดยการปรับพฤติกรรม ได้แก่ ทานอาหารแต่พอดี ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่ควรเข้านอนทันทีหลังทานอาหาร ควรเว้นเวลาในการนอนหลังทานอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง

ในส่วนของการรักษา แพทย์จะทำการวินัจฉัยซึ่งดูจากอาการร่วมกับตรวจร่างกาย ส่องกล้องเพื่อดูภายในหลอดอาหาร หากพบความผิดปกติในกล่องเสียงและคอ ที่สงสัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน แพทย์จะให้คนไข้ปรับพฤติกรรม ลดน้ำหนัก และปรับเรื่องการรับประทานอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกาย ที่สำคัญคือไม่กินแล้วนอนทันที