สุขภาพทั่วไป

รูหูของลูกน้อยและขี้หูที่ประโยชน์แก่เด็กเล็ก

เมื่อเรามีลูกน้อยการที่เราจะดูแลเกี่ยวกับเรื่องของความสะอาดเป็นเรื่องที่ดีนั่นเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับใบหูของลูกเรานั่นเองเพราะว่าเวลาที่เด็กเล็กที่พึ่งเกิดมาจะเป็นเต็มไปด้วยเรื่องของตัวลอกหรือว่าจะเต็มไปด้วยคราบต่างที่อยู่ในท้องของเรานั่นเองไม่ว่าจะเป็นเล็บมือเล็บเท้านั่นเอง  ดังนั้นการที่เรารู้จักในการที่จะทำความสะอาดลูกเราก็ต้องดูด้วยว่าสมควรหรือเปล่านั่นเอง เพราะว่าการที่เราจะเล็บลูกน้อยเราก็ต้องดูว่าอุปกรณ์ที่เราจะตัดเล็บให้ลูกของเรามีความคมมากน้อยแค่ไหนเพราะว่าเล็บของลูกน้อยเป็นเล็บที่มีความบางมากนั่นเองและจะโดยเนื้อของลูกเราหรือเปล่า 

อีกทั้งการที่เราจะดูแลเกี่ยวกับเรื่องของการทำความสะอาดของหูหรือว่ารูหูเราก็ควรที่จะทำตามที่คุณหมอแนะนำนั่นเอง อย่างเช่นมือลูกน้อยเกิดมาเราควรที่จะทำตามด้วยการเช็ดแค่ใบหูพอไม่ควรที่จะทำการแคะขี้หูของลูกนั่นเอง  เพราะว่าการที่เรารู้มาคือการที่คุณแม่หลายคนชอบที่จะแคะหูลูก  

          ในการที่เราแคะหูลูกเราไม่ควรที่จะทำเพราะว่าเด็กที่เกิดมายังมีรูหูที่เล็กมากและการที่เราเอาไม้แคะหรือว่าไม้ปั่นหูลูกเราไม่ควรที่จะทำนั่นเอง  ดังนั้นเมื่อคุณหมอที่ออกมาเตือนก็เพราะว่าการที่เราแคะหูของลูกจะทำให้เกิดอันตรายได้นั่นเองเพราะว่าจะเกิดเกี่ยวกับการอักเสบของรูหูเพราะว่าเด็กยังมีแก้วหูที่อ่อนมากและก็ตื้นด้วยเสี่ยงต่อการที่จะเป็นแก้วหูทะลุนั่นเอง  

         แต่ถ้าเรากลัวว่าการที่เราจะอาบน้ำให้ลูกน้อยของเราเเล้วน้ำจะเข้าหูเราก็ควรที่จะใช้สำลีในการอุดหูลูกเรานั่นเอง  และเราไม่ควรที่จะเอาไม้ปั่นหูเข้าไปเช็ดที่รูหูของลูกเพราะว่าจะเกิดอาการเจ็บและก็จะทำให้เกิดการแก้วหูทะลุ  เราควรที่จะเชื่อฟังคุณหมอนะค่ะเพราะว่าไม่อย่างนั้นลูกน้อยของเราอาจจะไม่ได้ยินตลอดไปนั่นเอง  

      ในการที่เราจะเช็ดทำความสะอาดหูเราควรที่จะเช็ดแค่ใบหูของลูกข้างนอกเพียงเท่านั้นเพราะว่าการที่เราจะเข้าไปเช็ดข้างในเราไม่ควรที่จะทำ และการที่เราจะเช็ดทำความสะอาดหูเราไม่ควรที่จะใช้แอลกอฮอล์เช็ดเราที่จะใช้น้ำอุ่นที่ต้มสุกแล้วเพราะว่าเป็นน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วนั่นเอง 

ส่วนของแอลกอฮอล์ที่ไม่ควรที่จะเช็ดที่ใบหูของลูกอาจจะทำให้ใบหูของลูกเกิดอาการลอกได้นั่นเอง  และลูกน้อยของเราเป็นเด็กน้อยอยู่หรือว่าอาจจะแพ้ได้นั่นเอง  เราควรที่จะใช่น้ำต้มสุกเป็นการเช็ดที่ใบหูพอไม่ควรที่จะเช็ดเข้าไปในรูหูของลูกน้อยเรานั่นเอง  

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  หวยลาวออกกี่โมง

สุขภาพทั่วไป

การที่เราอั้นฉี่เสี่ยงอันตรายหรือไม่

เมื่อถึงเวลาที่เรานั้นต้องอั้นฉี่นั้นเป็นเรื่องที่เราก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงกันได้เพราะว่าอาการที่เรานั้นอยู่บนรถที่เรานั้นไม่สามารถที่จะจอดได้นั่นเองการที่เรานั้นต้องอั้นฉี่นั้นเป็นเรื่องที่เรานั้นก็ไม่ควรที่จะทำแต่ว่าเมื่อสถานการณ์นั้นบังคับเราก็ควรที่อั้นเพราะว่าจะให้เรานั้นปล่อยฉี่ตรงนั้นก็ไม่ได้นั่นเองดังนั้นเราก็ควรที่จะอั้นต่อไปจนถึงจุดหมายที่เรานั้นสามารถที่จะไปเข้าห้องน้ำนั้นได้นั่นเอง  

    เรื่องที่เรานั้นสามารถที่จะอั้นฉี่ได้นานแค่ไหน   ยังไม่ผลวิจัยว่าเรานั้นควรที่จะอั้นฉี่ได้นานแค่ไหน  และการที่เรานั้นอั้นฉี่จะเสี่ยงต่อการที่เรานั้นจะเป็นโรคหรือเปล่านั้นก็ยังไม่มี  แต่ว่าสำหรับคนที่เป็นที่เป็นโรคอย่างเช่นโรค”ต ผู้หญิงที่ตั้งท้องอย่างนี้  ผู้ป่วยที่เป็นต่อมลูกหมากโตนั้นไม่ควรที่จะอั้นฉี่เพราะว่าอาจจะเกิดอาการติดเชื้อนั้นได้เหมือนกัน 

ดังนั้นการที่เรานั้นอั้นฉี่นั้นเราต้องดูด้วยว่าเรานั้นเสี่ยงต่อการที่เรานั้นจะเกิดโรคแทรกซ้อนหรือเปล่า  อย่าเป็นโรคที่เรานั้นได้กล่าวมานั่นเอง  การที่เรานั้นอั้นฉี่แล้วเกิดอาการปวดท้องนั้นก็เกิดจาการที่เรานั้นอั้นเป็นเวลาที่นาน  พอเมื่อเรานั้นได้เข้าห้องน้ำน้ำอาการที่เรานั้นฉี่ก็ออกมาไม่เยอะจากนั้นก็จะมีอาการท้องของเรานั้นเกิดแข็งตัว จากนั้นเราก็ปวดท้องและสิ่งต่อมานั้นก็คือการที่เรานั้นต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

เพื่อที่เรานั้นจะฉี่นั่นเองเหมือนกับว่าครึ่งชั่วโมงนั้นเราก็ต้องเข้าห้องน้ำเพื่อที่เรานั้นจะฉี่นั่นเอง  การที่เรานั้นเป็นแบบนั้นก็เกิดจาการที่เรานั้นอั้นฉี่แต่ว่าอาการที่เรานั้นปวดท้องสามารถที่จะทำให้กระเพราะอักเสบได้เหมือนกันดังนั้นในครั้งต่อไปนั้นเราก็ควรที่จะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนที่เรานั้นจะออกไปข้างนอกเพราะว่าการที่เรานั้นอั้นฉี่อีกอาจจะเสี่ยงต่อกระเพราะฉี่ของเรานั่นเอง  

      เมื่อเรานั้นรู้ตัวว่าเรานั้นจะไปไหนให้เราเข้าห้องน้ำเพื่อที่ว่าเรานั้นจะไม่เกิดอาการปวดฉี่ในระหว่างที่เรานั้นขึ้นรถนั่นเอง  

ส่วนคนที่เป็นโรคนั้นไม่สามารถที่จะอั้นฉี่ได้ก็ควรที่จะดูแลตัวเองในเรื่องนี้ด้วยเพราะว่าถ้าเรานั้นเกิดอาการที่เราต้องอั้นฉี่บ่อยก็เสี่ยงต่อโรคที่เรานั้นเป็นได้เหมือนกัน  เราก็ควรที่จะทำตัวของเรานั้นให้เรียบร้อยก่อนที่เราจะออกไป  และเมื่อเรานั้นเห็นห้องน้ำให้เรานั้นเข้าไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเพื่อที่ว่าเรานั้นจะได้เดินทางต่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของเรานั่นเอง  

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  หวยออนไลน์

สุขภาพทั่วไป

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราตั้งท้องวิธีไหนเป็นวิธีที่รู้เร็วที่สุด  

ในเรื่องของการที่เราจะมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับการที่จะมีลูก  เพราะว่าส่วนใครที่อยากที่จะมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ว่าการที่เรายังไม่อยากที่จะมีลูกนั้นก็มาอย่างไวเหลือเกินเพราะว่าการมีลูกเป็นเรื่องที่หลายคนนั้นก็อยากที่จะมีแต่ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราตั้งท้องในเวลาที่เรารู้สึกว่าเร็วที่สุดนั่นเอง   

        เริ่มจากการที่เราตรวจครรภ์ด้วยตัวเอง     การที่เราตรวจครรภ์ด้วยตัวเองเป็นวิธีที่เราสามารถที่จะรู้ได้เลย  เพราะว่าการที่เราที่เราเริ่มที่จะสังเกตุตัวเองโดยที่เราเริ่มจากการที่เราเป็นประจำเดือนเพราะว่าผูหญิงเราจะรู้ว่าประจำเดือนของเราจะมาวันไหนเพราะว่าส่วนใหญ่ประจำเดือนของเราจะมาตรงกันไม่ค่อยเลื่อนนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้ได้ว่าเราอาจจะกำลังตั้งท้องนั่นเอง  หรือว่าเป็นการที่เราเริ่มที่จะเข้าไปตรวจร่างกายเพราะว่าเรารู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติไปนั่นเอง  ดังนั้นเมื่อเราไปหาหมอก็สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าเราตั้งท้องหรือเปล่า   อาการที่จะตั้งท้องคือว่าเราต้องรู้ว่าเมนของเราไม่มาอย่างนัช้อยก็เคลื่อนออกไปเป็น 10วันนั้นเราก็อาจจะไปซื้อที่ตรวจมาตรวจเพื่อที่จะได้ว่าเรากำลังท้องหรือเปล่านั้นเอง   

     วิธีในการที่เราตรวจครรภ์ชนิดที่เร็วที่สุดคือการที่เราไปซื้อที่ตรวจมาตรวจเพราะว่าเราจะรู้ผลเลยเพียงแค่เราใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้นเอง  แต่วิธีที่จะทำให้เรารู้ว่าตั้งท้องหรือเปล่านั้นเราต้องรู้ว่าประเดือนของเราไม่อย่างน้อย 10 วันจากนั้นเราก็ลองที่จะไปซื้อที่ตรวจมาตรวจเพราะว่าจะสามารถที่จะทำให้รู้ได้เลยว่าเรากำลังตั้งท้องเปล่านั่นเอง   ดังนั้นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้วนั้นเอง

    ส่วนวิธีในการตรวจครรภ์

 เราก็ไปซื้อที่ตรวจตามร้านขายยาหรือว่าตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปเพราะว่าเดี่ยวนี้สามารถที่จะหาซื้อได้ง่ายมากเลยเพราะว่าตามร้านเซเว่น  หรือว่ามินิมาร์ค ก็มีขายกัน   เมื่อเราได้มาแล้ว  สิ่งแรกนั้นเราอาจจะอ่านตามขั้นตอนที่อยู่ข้ากล่องได้เลย   

   1 เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่ตรวจครรภ์นั้นจะมีอยู่สองอย่างนั่นก็คือ  อาจจะเป็นถ้วยสำหรับในการที่เราใส่ฉี่ แต่ว่าเมื่อเราจะฉี่นั้นเราควรที่จะตรวจในช่วงตอนเช้าที่เราตื่นนอนมาเราตรวจเพราะว่าจะได้ค่ามากกว่าในการตรวจตอนอื่นนั่นเอง  เมื่อเราฉี่ใส่ถ้วยแล้วเราก็จะเห็นแผ่นกระดาษที่ยาวเล็กๆนั้นโดยที่จะมีลูกศรในการชี้ขึ้นหรือว่าชี้ลง  ให้เราเอาลูกศรที่เราเห็นนั้นชี้ลง 

จากนั้นก็เอามาจุ่มที่ถ้วยฉี่ที่เราได้ฉี่เอาไว้  จากนั้นจะเห็นว่าจะมีการดูดฉี่ของเราขึ้นไปที่กระดาษนั้นจากนั้นจะมีขีดแดงๆให้เราเห็น  ว่ามีกี่ขีดนั่นเอง  ถ้าขึ้นขีดเดียวเรายังไม่ท้อง  แต่ถ้าขึ้นสองขีดเมื่อไหร่เราแสดงความดีใจด้วยเพราะว่าคุณได้เป็นคุณแม่แล้วนั่นเอง     

 

สนับสนุนเรื่่องราวโดย  วิธีเล่นหวยหุ้น ดาวโจนส์

สุขภาพทั่วไป

ต้อกระจก กับ ภาวะแทรกซ้อน

“โรคต้อกระจก” เป็นต้นเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ตาสามารถบอดได้ โดยคนที่เป็นโรคนี้จะมีภาวการณ์เลนส์ตาขุ่น แล้วก็จะมีลักษณะอาการหลักอย่างเช่น ตามัว ทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน สายตามัวแปลกไปจากปกติ ซึ่งลักษณะการมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนั้นมีหลายแบบ แต่ว่าโดยมากแล้วอาการต่างๆ จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ใช้เวลาเป็นเดือนหรือบางทีอาจเป็นปี เมื่อมีลักษณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการหนัก จะมีผลทำให้ผู้เจ็บป่วยไม่อาจจะดำรงชีวิตในทุกๆ วันได้ตามเดิม ซึ่งในหัวข้อนี้ หมอเฉพาะทางด้านดวงตา ด้านการผ่าตัดต้อกระจก           ต้อหิน แล้วก็หน้าจอประสาทตา ได้แนะนำและให้ข้อมูลที่ดี สำหรับเป็นแนวทางพินิจพิเคราะห์อาการ และสัญญาณเตือนของโรค รวมถึงกรรมวิธีในการรักษาไว้ เราไปดูกันเลยดีกว่า

ที่มาของการเกิดโรคต้อกระจก

สิ่งที่ทำให้เกิดอาการโรคต้อกระจกมาจาก อายุที่มากขึ้น โดยยิ่งไปกว่านั้นในกลุ่มคนที่มีอายุมาก โดยมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จะยิ่งเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อกระจกได้ง่าย รวมถึงคนที่ใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) โดยกรุ๊ปที่มีโอกาสเสี่ยงได้รับยา กลุ่มนี้ ยกตัวอย่างเช่น คนป่วยโรคภูมิแพ้, โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคเอสแอลอี (SLE) ยิ่งกว่านั้นคนที่ชอบกินยาต้ม ยาหม้อ ยาสมุนไพร ซึ่งอาจมีส่วนประกอบของสารสเตียรอยด์ หรือการประสบอุบัติเหตุทางตา รวมทั้งการโดนแสงรังสียูวี (UV) โดยตรงบ่อยๆ กลุ่มนี้ล้วนเป็นสาเหตุที่มาของการเกิดต้อกระจกทั้งปวง

4 อาการเสี่ยงต้องสงสัยอยู่ในข่ายเป็นโรคต้อกระจก 

  1. เห็นภาพไม่ชัดเจน
  2. เห็นภาพซ้อน
  3. มักเห็นภาพมัวในที่ๆมีแสงสว่างแรง
  4. ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ไปวัดแว่นทีไรไม่ชัดเจนสักครั้ง เมื่อมีลักษณะอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น อย่าวางใจหรือละเลย ควรจะรีบไปเจอหมอในทันที หรือ แม้ว่าจะไม่มีสัญญาณเตือน แต่ว่าพวกเราก็จำเป็นที่จะต้องตรวจร่างกายและดวงตา ขั้นต่ำปีละ 1 ครั้ง เพื่อค้นหาความผิดปกติที่เปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัว

 

ภาวะแทรกซ้อน อันตรายที่จำต้องเฝ้าระวัง

ในผู้ที่เป็นต้อกระจกมานานมากแล้ว และไม่ได้มีการรักษาจนเลนส์ตาสุก อาจจะสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทำให้อาการหนักขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น “ภาวะต้อหินจากต้อกระจกที่บวมเป่ง (Phacomorphic Glaucoma) โดยเป็นการที่เลนส์ตาสุกมากและเกิดการบวมจนปิดทางระบายน้ำในดวงตา ทำให้น้ำในดวงตาไม่ระบาย คนป่วยจะมีลักษณะปวดตาในทันควัน ตาแดง

เมื่อส่องไฟจะมองเห็นเลยว่า ตาดำจะขาวไม่ปกติ อาการปวดในกรณีนี้ไม่มียาซึ่งสามารถหยุดหรือบรรเทาลักษณะของอาการการปวดนี้ได้ ทำให้โรคต้อกระจกนั้น มีความอันตรายอย่างมาก และอันตรายยิ่งขึ้นหากไม่มีการรักษาจนเกิดภาวะแทรกซ้อน

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    แทงหวยหุ้นดาวโจนส์

สุขภาพทั่วไป

กินอะไรไม่ให้แก่

แน่นอนว่าตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นก็จะมีร่างกายที่เสื่อมและแก่ขึ้นตามอายุ แล้วถ้าหากเราไม่อยากแก่ตามอายุละเราต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าหากไม่อยากแก่ตามอายุนั้น เราเพียงแค่ นอนพักผ่อนให้พอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ และสิ่งที่สำคัญคือการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์นั่นเอง

ต้องถือว่าเรื่องอาหารการกินนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสามารถทำให้เรานั้นไม่แก่ตามอายุหรือสามารถมีอายุที่ยืนยาวและแข็งแรงได้ โดยจะแบ่งอาหารที่กินแล้วจะช่วยชะลอวัยและริ้วรอยได้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ 

อาหารประเภทโปรตีน เมื่อเรารับประทานโปรตีนเข้าไปในมื้อเช้านั้นเราจะใช้โปรตีนไปในชีวิตประจำวันและโปรตีนนั้นก็จะหมดไปและโปรตีนที่รับประทานในมื้อเย็นนั้นจะมาซ่อมแซมส่วนที่ซึกหลอนั่นเอง ดังนั้นมื้อเย็นห้ามอดอาหารเด็ดขาด เพราะเมื่ออดอาหารเย็นแล้วจะทำให้ไม่มีอะไรไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอนั่นเอง และควรนอนไม่เกิน 4ทุ่ม เพราะความแก่นั้นเกิดจากที่เราใช้งานร่างกายหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ และควรทานอาหารประเภทโปรตีนในประมาณที่พอเหมาะ

น้ำเปล่า ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะน้ำนั้นเป็น90%ของร่างกายเรา หากเรามีทานน้ำเปล่าน้อยก็จะทำให้เซลล์เรานั้นเกิดการเหี่ยว ก็นำมาซึ่งความเหี่ยวย่นของร่างกายนั่นเอง น้ำที่ควรรับประทานต่อวันคือ 2-3ลิตร หรืออาจจะมากกว่านั้น น้ำนั้นยิ่งดื่มยิ่งดีไม่มีพิษต่อร่างกาย แต่ถ้าหากอยากคำนวณแบบละเอียดก็สามารถคำนวณได้โดย เอา33xน้ำหนักตัว ก็จะได้ปริมาณน้ำอย่างน้อยที่เราควรทานต่อวัน

อาหารเสริม แล้วแต่คนว่าจะเลือกทานแบบไหน เช่นอาหารที่ช่วยในการชะลอวัย จากงานวิจัยนั้นก้จะมีวิตามินที่สามารถช่วยในการชะลอวัยก็คือ วิตามิน A,C,E ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมในกลุ่ม Blackmores หรือการรับประทาน Coenzyme Q10 สามารถช่วยพลังงานในเซลล์ได้จะทำให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้นและช่วยลดริ้วรอยด้วย และเมื่ออวัยวะภายในร่างกายได้รับ Coenzyme Q10 ก็จะทำให้อวัยวะในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นด้วย

โดยเมื่อคนที่อายุมาขึ้นนั้น ร่างกายจะมีการทำงานเพียงครึ่งเดียวเมื่อได้รับ Coenzyme Q10 ตลอดหรือทานอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยเพิ่มพลังงานในเซลล์ได้และจะทำให้รู้สึกสดชื่น และน้ำมันปลาก็สามารถทานเพื่อชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอยได้ และอาหารเสริมที่แนะนำสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะก็คือ พิมพ์โรสพลัส จะช่วยให้ผู้ผลิตฮอร์โมนได้ใกล้เคียงปกติ อาจจะช่วยได้เพียงระดับนึงเท่านั้น

การรับประทานอาหารที่มีเซเลเนียม โดยเซเรเนียมจะอยู่ในอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์อยู่แล้ว เพราะสัตว์นั้นได้รับเซเรเนียมจากอาหารทำให้เมื่อเราทานเนื้อสัตว์พวกนั้นเราก็จะได้รับเซเรเนียมเช่นกัน 

เมื่อรับประทานอาหารที่ดี ทำจิตใจให้ผ่องใส่อยู่เสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยชะลอวัยและลดริ้วรอยได้แล้ว

 

สนับสนุนโดย  หวยออนไลน์

สุขภาพทั่วไป

ลดแป้ง ลดน้ำตาล เท่ากับ ลดไขมัน

น้ำหนักเยอะ หุ่นแย่ ตัวอ้วน ปัญหาเหล่านี้เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะเคยต้องประสบพบเจออย่างแน่นอน ตามหลักแล้วปัญหาเหล่านี้เกิดจากการทานอาหารล้วนๆ ซึ่งหลายๆคนก็ต่างแก้ไขปัญหาด้วยการออกกำลังกายเพื่อกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านี้ออก แน่นอนว่ามนเป็นวิธีที่ได้ผลอยู่แล้ว เพราะการออกกำลังกายถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญแถมยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย แต่ก็มีหลายคำถามเหมือนกันนะที่ถามกันเข้ามาว่า จะมีวิธีการลดความอ้วนหรือไขมันส่วนเกินจากวิธีอะไรได้อีกหรือไม่

นอกจากการออกกำลังกาย แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว นั้นก็คือการทานอาหารนั้นเอง หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าถ้าหยุดทานอาหารประเภทไขมัน แล้วไขมันที่สะสมจะหายไปหรือไม่ แน่ว่ามันจะหายไปเพราะร่างกายจะค่อยๆดึงไขมันสะสมออกมาใช้เรื่อยๆ แต่ถ้าหากเรายิ่งทานเข้ามันก็จะไปทับถมอันเก่าๆทำให้ร่างกายสะสมเอาไว้ และดึงไขมันล่าสุดออกมาใช้เป็นพลังงานก่อนเสมอ เท่ากับว่าไขมันส่วนเก่าๆก็จะถูกสะสมไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้วการหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่เป็นไขมันจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายได้

แต่มีอีกหนึ่งอย่างยังมีอีกหลายคนไม่รู้เรื่องนี้นั้นก็คือ การทานแป้ง และน้ำตาล อาหาร 2 ประเภทนี้เมื่อรับทานเข้าไปมันจะกลายเป็นไขมันได้เช่นกัน เพราะแบบนี้ต่อให้เราไม่ได้ทานอาหารที่ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันหรือไขมันโดยเฉพาะ ร่างกายเราก็จะสามารถรับไขมันได้จากแหล่งอาหารอื่นๆเช่นเดียวกัน แล้วสารอาหารที่แปรสภาพมาเป็นไขมันนั้นจะถูกสะสมเอาไว้ในร่างกายได้ง่ายกว่าอาหารเป็นไขมันโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นแล้วหากต้องการลดอาหารประเภทไขมัน ก็จะต้องลดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลด้วยเช่นกัน หรือปรับเปลี่ยนวิธีการกินอย่างเช่น อาหารประเภทอย่างข้าวขาว เปลี่ยนมาเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวไรซ์เบอร์รี่

และอาหารประเภทน้ำตาล จากน้ำทรายขาวแปรรูป เปลี่ยนมาเป็นน้ำตาลหญ้าหวาน หรือน้ำตาลเทียมที่ให้พลังงาน 0 แคลอรี่ เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็ควรปรับเปลี่ยนวิธีการทานยังเสียดีกว่า เพราะว่าร่างกายจะได้รับอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น

และถ้าหากจะให้เห็นผลอย่างรวดเร็วก็ควรที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยดึงพลังงานของแป้ง น้ำตาล และไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น เท่ากับว่าจะช่วยในการเผาผลาญไขมันให้ออกไปจากร่างกายได้เร็วยิ่งขึ้น และจัดการการทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย

เพียงพอต่อสิ่งที่ร่างายควรจะได้รับ ไม่เก็บสะสมเอาไว้ในร่างกายให้เกินผลเสีย เพราะการทานอาหารครบตามโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยทำให้ระบบการทำงานส่วนต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างสามัคคีกัน และมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากขึ้น

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ชุดตรวจ hiv

สุขภาพทั่วไป

คนเป็นโรคกระเพาะไม่ควรทานอะไร

มีใครเคยเป็นโรคกระเพาะอาหารบ้างหรือไม่ ฟังดูแล้วแปลกนะว่าไหม โรคกระเพาะอาหารสามารถหายได้ด้วยอย่างนั้นหรือ แน่นอน โรคกระเพาะอาหารสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัย และจะสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิตถ้าเราไม่ดูแลในเรื่องของการทานอาหาร การที่เกิดโรคกระเพาะได้นั้นเป็นเพราะว่า มีความผิดปกติที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร สามารถเกิดขึ้นได้

ทั้งแบบฉับพลับและแบบเรื้อรัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถหายได้ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี สืบเนื่องมาด้วยปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะนี้ ในทั้งหมดแล้วการรับประทานอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาเช่นกัน เพราะเมื่อเรารับทานอาหารเข้าไปแล้วสิ่งต่อไปจากการถูกย่อยด้วยฟันมันก็จะลงไปสู่กระเพาะอาหารของเราทันที ซึ่งในผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะแต่ละคนนั้นจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะมีการตอบสนองต่ออาหารแต่ละชนิดไม่เหมือนกันนั้นเอง ซึ่งตัวของผู้ป่วยที่โรคกระเพาะนั้นจะต้องคอยสังเกตและสอดส่องลักษณะของอาหารที่ตนเองได้รับประทานเข้าไปแต่ละอย่าง

เพื่อจะได้ทราบว่าอาหารประเภทไหนบ้างที่เมื่อทานเข้าไปแล้วทำให้โรคกระเพาะนั้นกำเริบหรือแสดงอาการของโรคนั้นออกมา ซึ่งในส่วนใหญ่จากการตรวจและสังเกตจะพบว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะนั้นจะมีอาการกำเริบหากได้ทานอาหารที่มีรสเผ็ด รสเปรี้ยว อาหารที่ออกฤทธิ์เป็นกรด และอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเช่น

  • อาหารที่ผ่านกระบวนการทอดสุก
  • ผลิตภัณฑ์ของอาหารที่ทำจากมะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ เป็นต้น
  • นมสด รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนมสดและครีม
  • อาหารแปรรูป เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก แฮม เบค่อน เป็นต้น
  • ช็อกโกแลต นมช็อกโกแลต โกโกร้อน
  • สุรา เครื่องดื่มที่มีส่วนประของแอลกอฮอล์
  • เครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา
  • เครื่องดื่มที่มีการอัดแก๊ส เช่น โซดา น้ำอัดลม
  • ชาดำ ชาเขียว หรือปราศจากคาเฟอีนเหล่านี้ก็ควรระวังไม่แพ้กัน
  • น้ำผลไม้ โดยเฉพาะน้ำส้มและน้ำเกรปฟุต ที่ออกฤทธิ์เป็นกรดสูงมากกว่าน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ

นี่เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคกระเพาะทานเข้าไปแล้วสามารถทำอาการการปวดนั้นกำเริบขึ้นมาได้ ซึ่งในบางคนอาจจะบอกว่า เขานั้นก็เป็นโรคกระเพาะ แต่ทานอาหารเหล่านี้แล้วไม่เห็นจะเป็นอะไร อย่างที่ได้กล่าวไปว่าไม่ใช่ว่าทุกคนที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะเมื่อทานอาหารเหล่านี้ไปแล้วจะแสดงอาการ ตัวคุณเองนั้นต้องคอยสังเกตตัวเองอยู่เสมอว่าร่างกายคุณนั้นเมื่อทานอะไรเข้าไปแล้วอาการจะแสดงออกมา ฉะนั้นแล้วอย่าลืมดูแลและสอดส่องอาการของตัวเองอยู่เสมอ หรือเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการรักษา

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  ชุดตรวจ hiv

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

3 โรคน่ารำคาญ ของคนวัยทำงาน

3 โรคน่ารำคาญ ของคนวัยทำงาน

1. หมอนรองกระดูกเสื่อม / หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท
สามารถเกิดขึ้นทั้งจากการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน หรือการดำรงชีพ รอบๆ คอ ไหล่ หลัง อาทิเช่น ของหนักๆ ร่วงใส่ หรือหามของหนักๆ อยู่เสมอตลอดเวลา แม้กระนั้นโดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากใช้ร่างกายหนักขณะที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ การนั่ง ก้มคอ ข้างหลังคอ เกร็งแขน หรือไหล่ จนกระทั่งเกิดลักษณะของการปวดคอ หลัง ไหล่ ปวดมากมายจนกระทั่งรู้สึกราวกับมีไฟช็อต มีลักษณะอาการชา แล้วก็อวัยวะนิดหน่อยเริ่มอ่อนกำลัง

แนวทางปรับเปลี่ยนท่าทางระหว่างนั่งปฏิบัติงานหน้าคอมพิวเตอร์ รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต และหรือระหว่างขับรถยนต์เป็นระยะทางที่ไกลๆ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ลุกขึ้นยืน 1 ครั้ง หรือพักรถยนต์เป็นช่วงๆ เพื่อยืดกล้ามรอบๆ มือ แขน ไหล่ รวมทั้งหลัง ปรับโต๊ะ เก้าอี้ รวมทั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ถูกกับสรีระของตน ให้นั่งปฏิบัติงานอยู่ในท่าข้างหลังตรง ศอกตั้งฉากกับโต๊ะ แล้วก็คีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตาตรงๆ ไม่ต้องก้ม รวมทั้งเก้าอี้จะต้องมีพนักพิง และก็ที่พักแขน

2. กรดไหลย้อน
เว้นแต่โรคกระเพาะอาหารอักเสบที่เป็นโรคที่อยู่คู่กับวัยทำงานมาอย่างนานแล้ว ก็มีโรคกรดไหลย้อนนี่แหละที่มาแรงแซงทางโค้งในปี 2017 นี้ไม่แพ้กัน ในประเทศไทยพบว่าชาวไทยวัยทำงานพบเจอปัญหาโรคกรดไหลย้อนกันมากเพิ่มขึ้น และก็มีแนวโน้มทิศทางมากยิ่งขึ้นเนื่องจากว่ากรดไหลย้อนเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการกินอาหารมืดค่ำ แล้วเข้านอนเลย ทำให้เกิดความดันในท้องมาก แล้วก็กลายเป็นพวกกรดมากอาจไหลย้อนได้ ความตึงเครียดที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ นำมาซึ่งการทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมาเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รวมทั้งขาดการบริหารร่างกายที่มากพอเพียง จนสุดท้ายกรดไหลย้อนขึ้นมาทำให้รู้สึกแสบร้อนกึ่งกลางอก ของกินไม่ย่อย อาเจียนคลื่นไส้ หรือไหลเข้าไปทำลายกล่องเสียงได้

แนวทางคุ้มครองปกป้อง รับประทานอาหารให้ตรงตามเวลา อย่าทานเกินความพอดี ลดการทานของทอดของมัน บริหารร่างกาย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์ แล้วก็ลดการดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม รวมทั้งดูดบุหรี่

3. ซีสต์ในช่องคลอด/รังไข่
โรคยอดนิยมของวัยทำงานผู้หญิง มักจะพบว่ามีคนที่อยู่รอบข้างเข้ารับการผ่าตัดเอาซีสต์ออก มีทั้งซีสต์ที่เป็นถุงน้ำ เดอร์มอยด์ ซีสต์ รวมทั้งที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ โดยซีสต์พวกนี้นับได้ว่าเป็นเนื้องอกประเภทหนึ่ง ตามเดิมแล้วแม้ตรวจเจอก่อน รวมทั้งเข้ารับการผ่าตัดทิ้ง ก็จะปลอดภัยต่อสภาพร่างกาย แม้กระนั้นถ้าหากเจอภายหลังจากซีสต์อักเสบจนกระทั่งแตกแล้ว อาจมีการเสี่ยงติดโรคในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

แนวทางปกป้อง ต้นเหตุของการเกิดซีสต์ไม่อาจจะเจาะจงได้แน่ชัดนัก ด้วยเหตุนั้นแนวทางคุ้มครองปกป้องก็เลยไม่สามารถที่จะเจาะจงได้ แม้กระนั้นถ้าจะเพียรพยายามลดการเสี่ยง ควรที่จะเลือกทานผักและทานผลไม้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ลดของมันของทอดไหม้เกรียม อาหารบรรจุกระป๋อง แล้วก็เลือกดำเนินชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่มีมลภาวะ นอกเหนือจากนี้พึงสังเกตลักษณะของการปวดท้องของตนเอง ว่าเคยเจ็บท้องอย่างไร้ปัจจัยรอบๆ ท้องทางด้านซ้าย/ด้านขวาล่าง ปวดเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยไหม หากใช่ควรจะรีบไปตรวจเพื่อหาทางรักษาก่อนก้อนซีสต์อักเสบ

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

สุขภาพดีได้ แค่หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้

หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้ เพื่อสุขภาพที่ดี
หากคุณรู้สึกว่า ออกกำลังกายเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกได้ผลดีไม่เท่าที่ควรจะได้ หรือรู้สึกว่าสุขภาพอาจกำลังย่ำอยู่กับที่ ลองปรับพฤติกรรมการกินของคุณดู เพราะการออกกำลังกายมีส่วนช่วยในเรื่องสุขภาพก็จริง แต่การกินนี่ถือเป็นที่สุดแห่งการดูแลสุขภาพ เลือกกินให้ดี หยุดพฤติกรรมการกินเหล่านี้
1. “ไม่กินผักผลไม้” ผักและผลไม้ เป็นแหล่งรวมวิตามินและเกลือแร่ การที่เราไม่ทานผักผลไม้เลย อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินหรือเกลือแร่บางอย่างได้ บางทีก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมไปถึงขาดกากใยอาหารที่จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย

2. “ไม่กินอาหารเช้า” สุขภาพที่ดีเริ่มต้นที่การทานอาหารเช้า จริงๆ คนเรา ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เพราะแต่ะลมื้อก็มีความสำคัญต่อร่างกายไม่เหมือนกัน เรื่องนี้จริงไม่ใช่แค่อยู่ในตำรา อย่างมื้อเช้าที่เราต้องกินเพราะ ในตอนเช้าเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเริ่มต้นระบบต้องการพลังงานจากอาหารไปกระตุ้นให้เกิดการทำงานที่ดีขึ้น ช่วยให้เราทำกิจกรรมในตอนเช้าได้อย่างดี ทั้งเรียน ทำงาน ที่สำคัญช่วยให้เราทานอาหารกลางวันได้น้อยลงอีกด้วย

3. “ติดเครื่องดื่ม” ไม่ว่าจะเป็น ชานมไข่มุก ชาเย็น กาแฟ น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มบำรุงร่างกายต่างๆ เครื่องดื่มเหล่านี้มักมีส่วนผสมของน้ำตาล หากเราติดเครื่องดื่มเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เราได้รับพลังงานที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำตาล และทำให้เราได้รับพลังงานในปริมาณมากเกินความจำเป็นในแต่ละวันจนทำให้เสี่ยงโรคอ้วน หรือไขมันอุดตันเส้นเลือดได้

4. “ติดแอลกอฮอล์” แอลกอฮอล์เป็นตัวการร้ายที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ทำลายเซลล์สมอง อาจทำให้ความจำแย่ลง ประมวลผลได้ช้า ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป

5. “กินอาหารสุกๆ ดิบๆ” การทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ทำให้ร่างกายเสี่ยงรับพยาธิ และเชื้อโรคต่างๆ เข้ามาในร่างกาย เพราะจริงแล้วพยาธิและเชื้อโรคมักจะถูกทำลายหรือฆ่าให้ตายด้วยความร้อนในการปรุงอาหารให้สุข แต่หากทานแบบ สุขๆ ดิบๆ จะทำให้สิ่งเหล่านั้น ที่ไม่ได้ถูกกำจัดออก หรือหลงเหลืออยู่ ดังนั้นควรปรุงอาหารให้สุกก่อนกินทุกครั้ง

นอกจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินให้ถูกต้องแล้ว ควรออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อคอยเช็กสุขภาพอยู่ตลอด เมื่อมีความผิดปกติจะได้ตรวจพบ และรีบรักษาได้อย่างทันท่วงที

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

อากาศร้อน ระวังภัยจากอาหารอาจเสี่ยงท้องเสีย

ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อากาศที่นี่มักจะร้อนถึงร้อนมาก อาจส่งผลให้อาหารการกินที่ทำขึ้นมักจะบูดหรือเน่าเสียได้ง่าย และเร็วกว่าเดิม จากที่สามารถทำอาหารไว้ก่อนรอทุกคนกลับมาทานที่บ้าน รอลูกค้ามาซื้อ หรือแม้ซื้อจากข้างนอกมารอทานในมื้ออื่น ก็สามารถทิ้งไว้ได้เป็นวันๆ แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยการเกิดสภาวะโลกร้อน ทำให้สภาพอากาศของโลกร้อนขึ้น และประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองร้อนอยู่แล้วก็ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก ดังนั้นพวกเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มันจึงสมารถที่จะเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น มากขึ้น และเร็วขึ้น ซึ่งทำให้อาหารเหล่านั้นที่เราทำไว้ เตรียมไว้ มีความเสี่ยงที่จะบูดเน่าได้หลังจากทำเสร็จเพียงไม่ถึงหนึ่งวันเต็ม (หากไม่ผ่านความร้อนให้เดือดอยู่เรื่อยๆ)

อาหารแบบไหน บูดเน่าเสียได้ง่าย?
อาหารจะบูดหรือเน่าเสียง่ายมากขึ้นอยู่กับวิธีการทำว่าผ่านความร้อนใช้ความร้อนมากแค่ไหน โดยเฉพาะตอนเวลาที่ทิ้งอาหารเอาไว้หลังปรุงเสร็จว่าทิ้งไว้นานมากเท่าไรก่อนเราจะกิน โดยเฉพาะวิธีการเก็บรักษาหลังปรุงอาหารเสร็จ หรือการที่เราตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หรือนำไปอุ่นให้เดือด หรือเก็บใส่ในตู้เย็นในระหว่างก่อนจะกินหรือไม่ และส่วนประกอบของอาหารนั้นๆ มีส่วนประกอบเป็น นม หรือ กะทิ หรือเปล่า เพราะอาหารที่มีส่วนประกอบเจ้า 2 อย่างนี้มักจะบูดเน่าเสียง่ายกว่าอาหารอื่นๆ

อาหารเสี่ยง “ท้องเสีย-ท้องร่วง-อาหารเป็นพิษ” ช่วงหน้าร้อน

  1. อาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น กุ้งแช่น้ำปลา ลาบก้อย เนื้อย่างมิเดียมแรร์ กุ้งเต้น ฯลฯ หลายคนคงเข้าใจว่ากรดในน้ำมะนาวสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ แต่จริงๆ แล้ว เป็นความเข้าใจที่ผิด ความร้อนเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลดแบคทีเรียให้น้อยลงได้ และทำได้แค่บางตัว บางชนิด
  2. อาหารที่มีส่วนประกอบหรือปรุงด้วยนม กะทิ เช่น น้ำยากะทิ แกงเขียวหวาน มัสมั่น แกงกะทิ ฯลฯ หากมีการปรุงอาหารเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้ามืด และนำมาตั้งทิ้งไว้นานเกินและไม่ได้นำไปอุ่นให้เดือด อาจมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเจริญเติบโตในอาหารจนอาจทำให้บูดเน่าได้ แม้เวลาจะผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง
  3. อาหารประเภทที่ปรุงทิ้งไว้นานๆ โดยไม่สามารถนำไปอุ่นได้ เช่น อาหารประเภทยำ พล่า หรือบางเมนูที่เมื่อนำไปอุ่นแล้วจะลดความน่ารับประทานลงไป เช่น ผัดผัก อาหารทอด (ที่จะทำให้ผัก หรืออาหารสุกเกินไป และไม่น่ารับประทาน) มีความเสี่ยงที่จะมีแบคทีเรียเจริญเติบโตเช่นกัน
  4. อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วนำมาตั้งไว้บนพื้น อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีสิ่งสกปรกตกลงไปในอาหารได้ ดังนั้นควรสังเกตร้านอาหารต่างๆ ว่ามีการตั้งอาหารพร้อมภาชนะ รวมทั้งอุปกรณ์ในการทำอาหารเอาไว้บนพื้นหรือไม่
  5. น้ำดื่ม น้ำแข็ง ที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน อาจมีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนจนทำให้เสี่ยงท้องร่วงได้

วิธีหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษ

  • เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีการปรุงใหม่ ปรุงสดทีละจาน หรือพึ่งทำเสร็จ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุก ไม่ดิบ ไม่กึ่งสุก กึ่งดิบ และได้ผ่านความร้อนมาอย่างเต็มที่
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่สังเกตแล้วเหมือนว่าทำทิ้งเอาไว้นานหลายชั่วโมงโดยไม่ได้รับการอุ่นให้ร้อนระหว่างวัน
  • หากซื้ออาหารปรุงสำเร็จกลับมารับประทานเองที่บ้าน ควรอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน หากยังไม่ทาน หรือทานเหลือแต่อยากเก็บเอาไว้รับประทานใหม่ในวันอื่น ควรอุ่นให้ร้อน ก่อนทิ้งไว้ให้หายร้อนแล้วนำเข้าไปเก็บเอาไว้ในตู้เย็น (ตู้เย็นไม่ควรมีอาหารแช่จนแน่นตู้ เพราะจะทำให้ความเย็นไม่เพียงพอในการรักษาคุณภาพของอาหาร)
  • เลือกซื้อน้ำดื่ม และน้ำแข็งจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
  • เลือกซื้ออาหารจากร้านอาหารที่ดูแล้วถูกสุขลักษณะ มีความสะอาดทั้งจากร้าน อุปกรณ์ในการทำอาหาร ลักษณะของคนทำอาหาร เป็นต้น

จากข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2561 ทั่วประเทศพบผู้ป่วย โรคอุจจาระร่วง 209,470 ราย และโรคอาหารเป็นพิษ 19,807 ราย โดยอาการของผู้ป่วยจะคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระ คอแห้งกระหายน้ำ และอาจมีไข้ หากอาการไม่รุนแรงควรให้สารละลายเกลือแร่หรืออาหารเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ หากอาการต่างๆ ไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์